สารกึ่งตัวนำ (อังกฤษ: semiconductor) คือ วัสดุที่มีคุณสมบัติในการนำไฟฟ้าอยู่ระหว่างตัวนำและฉนวน เป็นวัสดุที่ใช้ทำอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ มักมีตัวประกอบของ germanium, selenium, silicon วัสดุเนื้อแข็งผลึกพวกหนึ่งที่มีสมบัติเป็นตัวนำ หรือสื่อไฟฟ้าก้ำกึ่งระหว่างโลหะกับอโลหะหรือฉนวน ความเป็นตัวนำไฟฟ้าขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ และสิ่งไม่บริสุทธิ์ที่มีเจือปนอยู่ในวัสดุพวกนี้ ซึ่งอาจเป็นธาตุหรือสารประกอบก็มี เช่น ธาตุเจอร์เมเนียม ซิลิคอน ซีลีเนียม และตะกั่วเทลลูไรด์ เป็นต้น วัสดุกึ่งตัวนำพวกนี้มีความต้านทานไฟฟ้าลดลงเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ซึ่งเป็นลักษณะตรงข้ามกับโลหะทั้งปวง
ที่อุณหภูมิ ศูนย์ เคลวิน วัสดุพวกนี้จะไม่ยอมให้ไฟฟ้าไหลผ่านเลย เพราะเนื้อวัสดุเป็นผลึกโควาเลนต์ ซึ่งอิเล็กตรอนทั้งหลายจะถูกตรึงอยู่ในพันธะโควาเลนต์หมด (พันธะที่หยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอม) แต่ในอุณหภูมิธรรมดา อิเล็กตรอนบางส่วนมีพลังงาน เนื่องจากความร้อนมากพอที่จะหลุดไปจากพันธะ ทำให้เกิดที่ว่างขึ้น อิเล็กตรอนที่หลุดออกมาเป็นสาเหตุให้สารกึ่งตัวนำ นำไฟฟ้าได้เมื่อมีมีสนามไฟฟ้ามาต่อเข้ากับสารนี้
สารกึ่งตัวนำไม่บริสุทธิ์ เป็นสารที่เกิดขึ้นจากการเติมสารเจือปนลงไปในสารกึ่งตัวนำแท้ 
เช่น ซิลิกอน หรือเยอรมันเนียม เพื่อให้ได้สารกึ่งตัวนำที่มีสภาพการนำไฟฟ้าที่ดีขึ้น สารกึ่งตัวนำไม่บริสุทธิ์นี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ สารกึ่งตัวนำประเภทเอ็น (N-Type) และสารกึ่งตัวนำประเภทพี (P-Type)
สารกึ่งตัวนำที่นำมาใช้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์  คือ  ซิลิกอน (Si) และเจอเมเนียม (Ge)  ธาตุทั้งสองอยู่ในแถวที่  4  ของตารางธาตุ  มีวาเลนซ์อิเล็กตรอน  4  ตัว  ในสภาวะปกติอยู่ในรูปผลึกเรียงตัวแบบเตตระฮีดรอล (tetrahedral)  อะตอมตัวหนึ่งของสารกึ่งตัวนำจะจับกับอะตอมอื่นอีก  4  อะตอม  การรวมตัวกันโดยพันธะโควาเลนต์ คือใช้วาเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกัน  จึงเหมือนกับว่าอะตอมหนึ่งของสารกึ่งตัวนำมีวาเลนซ์อิเล็กตรอน  8  ตัว  วาเลนซ์อิเล็กตรอน  4  ตัว  เป็นของอะตอมสารกึ่งตัวนำในอะตอมนั้น  ส่วนวาเลนซ์อิเล็กตรอนอีก  4  ตัว  ใช้ร่วมกับอะตอมอื่น  ดังนั้นอิเล็กตรอนของสารกึ่งตัวนำจึงยึดแน่นกับอะตอมมาก  สารกึ่งตัวนำจึงเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ไม่ดี  อย่างไรก็ตามเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น  อิเล็กตรอนได้รับพลังงานความร้อนหลุดจากอะตอมได้บ้าง  ทำให้พบอิเล็กตรอนในแถบพลังงานนำ  สารกึ่งตัวนำจึงนำไฟฟ้าได้  การนำไฟฟ้าของสารกึ่งตัวนำจะขึ้นกับอุณหภูมิ  ถ้าอุณหภูมิสูงอิเล็กตรอนในแถบนำมากจะนำไฟฟ้าได้ดี  ถ้าอุณหภูมิต่ำจะเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ไม่ดี
เมื่ออิเล็กตรอนหลุดจากอะตอม  ทำให้พันธะโควาเลนซ์เกิดช่องว่างขึ้น  อิเล็กตรอนจากที่อื่นสามารถเคลื่อนที่เข้ามาแทนที่ได้มีลักษณะคล้ายกับหลุมที่อิเล็กตรอนอาจจะตกลงไป  จึงเรียกช่องว่างนี้ว่า  โฮล (Hole) ถ้าหากว่าอิเล็กตรอนของอะตอมข้างเคียงมีพลังงานเคลื่อนที่เข้ามาแทนที่โฮล  อิเล็กตรอนข้างเคียงก็จะเกิดโฮลขึ้น  คล้ายกับว่าโฮลเคลื่อนจากอะตอมเดิมไปยังอะตอมข้างเคียง  ถ้ายังมีอิเล็กตรอนจากอะตอมอื่นเคลื่อนเข้ามาแทนที่โฮลต่อเนื่องกันหลาย ๆอะตอม  โฮลจะเคลื่อนที่ไปตามอะตอมเหล่านั้น  เนื่องจากอะตอมที่เกิดโฮลมีสภาพเป็นบวกเพราะขาดอิเล็กตรอน  โฮลจึงเป็นตัวพาประจุบวกในสารกึ่งตัวนำ  ซึ่งในสารกึ่งตัวนำนี้จะมีตัวพาประจุ  2  ชนิด  คืออิเล็กตรอนพาประจุลบ  และโฮลพาประจุบวก
ในสารกึ่งตัวนำมีพาหะของประจุอยู่  2  ชนิด  คือ  อิเล็กตรอนและโฮล  ความหนาแน่นกระแสจะขึ้นกับปริมาณพาหะทั้ง  2  ชนิด  ดังนั้น
J
        =
        (
        n
        
          μ
          
            n
          
        
        +
        p
        
          μ
          
            p
          
        
        )
        e
        E
        =
        σ
        E
      
    
    {\displaystyle J=(n\mu _{n}+p\mu _{p})eE=\sigma E}
σ
        =
        (
        n
        
          μ
          
            n
          
        
        +
        p
        
          μ
          
            p
          
        
        )
        e
      
    
    {\displaystyle \sigma =(n\mu _{n}+p\mu _{p})e}
ในสารกึ่งตัวนำบริสุทธิ์  (pure semi-conductor, intrinsic semiconductor)  จำนวนโฮลเท่ากับจำนวนอิเล็กตรอน  เพราะว่า  โฮลเกิดจากการแตกตัวของอิเล็กตรอนจากอะตอม
เมื่อ      
  
    
      
        
          n
          
            i
          
        
      
    
    {\displaystyle n_{i}}
  
  =  ปริมาณพาหะ (โฮล  หรือ  อิเล็กตรอน)  ในสารกึ่งตัวนำบริสุทธิ์
f
        (
        E
        )
        =
        
          
            1
            
              1
              +
              
                e
                
                  
                    
                      (
                      E
                      −
                      
                        E
                        
                          f
                        
                      
                      )
                    
                    
                      k
                      T
                    
                  
                
              
            
          
        
      
    
    {\displaystyle f(E)={\frac {1}{1+e^{\frac {(E-E_{f})}{kT}}}}}
d
        N
        =
        
          
            m
            
              h
              
                3
              
            
          
        
        
          
            2
            m
            E
          
        
        8
        π
        d
        E
      
    
    {\displaystyle dN={\frac {m}{h^{3}}}{\sqrt {2mE}}8\pi dE}
∫
          
            0
          
          
            
              E
              
                f
              
            
          
        
        d
        N
        =
        n
        ⟶
        n
        =
        
          ∫
          
            0
          
          
            
              E
              ′
            
          
        
        
          
            
              
                
                  m
                  
                    h
                    
                      3
                    
                  
                
              
              
                
                  2
                  m
                  E
                
              
              8
              π
              d
              E
            
            
              1
              +
              
                e
                
                  
                    
                      (
                      E
                      −
                      
                        E
                        
                          f
                        
                      
                      )
                    
                    
                      k
                      T
                    
                  
                
              
            
          
        
      
    
    {\displaystyle \int \limits _{0}^{E_{f}}dN=n\longrightarrow n=\int \limits _{0}^{E'}{\frac {{\frac {m}{h^{3}}}{\sqrt {2mE}}8\pi dE}{1+e^{\frac {(E-E_{f})}{kT}}}}}
เนื่องจาก  
  
    
      
        (
        E
        −
        
          E
          
            f
          
        
        )
        
          /
        
        k
        T
      
    
    {\displaystyle (E-E_{f})/kT}
  
  มากกว่า  1  มาก  ดังนั้น  เราอาจประมาณว่า
1
            
              1
              +
              
                e
                
                  
                    
                      (
                      E
                      −
                      
                        E
                        
                          f
                        
                      
                      )
                    
                    
                      k
                      T
                    
                  
                
              
            
          
        
        ≈
        
          e
          
            −
          
        
        
          
            
              (
              E
              −
              
                E
                
                  f
                
              
              )
            
            
              k
              T
            
          
        
      
    
    {\displaystyle {\frac {1}{1+e^{\frac {(E-E_{f})}{kT}}}}\thickapprox e^{-}{\frac {(E-E_{f})}{kT}}}
n
        =
        
          ∫
          
            0
          
          
            ∞
          
        
        
          
            m
            
              h
              
                3
              
            
          
        
        
          
            2
            m
            E
          
        
        8
        π
        
          e
          
            −
          
        
        
          
            
              (
              E
              −
              
                E
                
                  f
                
              
              )
            
            
              k
              T
            
          
        
        d
        E
      
    
    {\displaystyle n=\int \limits _{0}^{\infty }{\frac {m}{h^{3}}}{\sqrt {2mE}}8\pi e^{-}{\frac {(E-E_{f})}{kT}}dE}
p
        =
        
          ∫
          
            0
          
          
            
              E
              
                v
              
            
          
        
        
          
            m
            
              h
              
                3
              
            
          
        
        
          
            2
            m
            E
          
        
        8
        π
        
          e
          
            −
          
        
        
          
            
              (
              E
              −
              
                E
                
                  f
                
              
              )
            
            
              k
              T
            
          
        
        d
        E
      
    
    {\displaystyle p=\int \limits _{0}^{E_{v}}{\frac {m}{h^{3}}}{\sqrt {2mE}}8\pi e^{-}{\frac {(E-E_{f})}{kT}}dE}
n
          
            1
          
        
        =
        2
        
          
            (
          
        
        
          
            
              2
              π
              
                m
                
                  n
                
              
              k
              T
            
            
              h
              
                2
              
            
          
        
        
          
            
              )
            
          
          
            
              3
              2
            
          
        
        
          e
          
            −
          
        
        
          
            
              
                (
                
                  E
                  
                    f
                  
                
                −
                
                  E
                  
                    v
                  
                
                )
              
              
                k
                T
              
            
          
        
        =
        
          N
          
            c
          
        
        
          e
          
            −
          
        
        
          
            
              
                (
                
                  E
                  
                    f
                  
                
                −
                
                  E
                  
                    v
                  
                
                )
              
              
                k
                T
              
            
          
        
      
    
    {\displaystyle n_{1}=2{\biggl (}{\frac {2\pi m_{n}kT}{h^{2}}}{\biggr )}^{\frac {3}{2}}e^{-}{\tfrac {(E_{f}-E_{v})}{kT}}=N_{c}e^{-}{\tfrac {(E_{f}-E_{v})}{kT}}}
p
          
            1
          
        
        =
        
          n
          
            1
          
        
        =
        2
        
          
            (
          
        
        
          
            
              2
              π
              
                m
                
                  p
                
              
              k
              T
            
            
              h
              
                2
              
            
          
        
        
          
            
              )
            
          
          
            
              3
              2
            
          
        
        
          e
          
            −
          
        
        
          
            
              
                (
                
                  E
                  
                    f
                  
                
                −
                
                  E
                  
                    v
                  
                
                )
              
              
                k
                T
              
            
          
        
        =
        
          N
          
            v
          
        
        
          e
          
            −
          
        
        
          
            
              
                (
                
                  E
                  
                    f
                  
                
                −
                
                  E
                  
                    v
                  
                
                )
              
              
                k
                T
              
            
          
        
      
    
    {\displaystyle p_{1}=n_{1}=2{\biggl (}{\frac {2\pi m_{p}kT}{h^{2}}}{\biggr )}^{\frac {3}{2}}e^{-}{\tfrac {(E_{f}-E_{v})}{kT}}=N_{v}e^{-}{\tfrac {(E_{f}-E_{v})}{kT}}}
เมื่อ  
  
    
      
        
          N
          
            c
          
        
        ,
        
          N
          
            v
          
        
      
    
    {\displaystyle N_{c},N_{v}}
  
  =  ความหนาแน่นของสเตทในแถบนำและแถบวาเลนซ์
ปริมาณอิเล็กตรอนและโฮลที่เกิดจากพลังงานความร้อนและแสงสว่าง  ยังคงมีจำนวนน้อยเกินไป  ทำให้สารกึ่งตัวนำบริสุทธิ์นำไฟฟ้าได้ไม่ดีเท่าที่ควร  ในทางปฏิบัติจะเติมอะตอมอื่นที่มีวาเลนซ์อิเล็กตรอน  3  หรือ  5  ลงในสารกึ่งตัวนำบริสุทธิ์  เพื่อทำให้ปริมาณอิเล็กตรอนหรือโฮลเพิ่มขึ้น  อะตอมที่เติมลงไปมีชื่อว่า  อะตอมสารเจือ  (impurity atom)  การเติมสารเจือ  เรียกว่าการโด๊ป  (Doping)  สารกึ่งตัวนำที่มีอะตอมสารเจือ  เจือปนอยู่  เรียกว่า  สารกึ่งตัวนำไม่บริสุทธิ์ (extrinsic semiconductor)  หรือสารกึ่งตัวนำสารเจือ  (doping semiconductor)
สารกึ่งตัวนำไม่บริสุทธิ์มี  2  ชนิดคือ  สารกึ่งตัวนำไม่บริสุทธิ์ชนิดเอ็น  (N-type semiconductor)  และสารกึ่งตัวนำไม่บริสุทธิ์ชนิดพี (P-type  semiconductor)
สารกึ่งตัวนำไม่บริสุทธิ์ชนิดเอ็นเป็นสารกึ่งตัวนำที่มีอิเล็กตรอนจำนวนมาก  เกิดจากการเติมอะตอมที่มีวาเลนซ์อิเล็กตรอน  5  ตัว  เช่น  แอนติโมนี,  ฟอสฟอรัส  หรือ อาเซนิก
อะตอมสารเจือสามารถให้อิเล็กตรอนได้จึงมีชื่อเรียกว่า  อะตอมผู้ให้  (donor  atom)  อะตอมสารเจือประมาณหนึ่งต่อล้านเป็นชนิดเอ็นเพราะว่ามีอิเล็กตรอนซึ่งเป็นพาหะของประจุลบอยู่มาก  อย่างไรก็ตามในแถบวาเลนซ์ก็มีโฮลอยู่บ้าง  สารกึ่งตัวนำชนิดเอ็นมีอิเล็กตรอนในแถบนำเป็นพาหะส่วนใหญ่ (majority carrier)  มีโฮลเป็นพาหะส่วนน้อย
สารกึ่งตัวนำไม่บริสุทธิ์ชนิดพี  เป็นสารกึ่งตัวนำที่มีโฮลอยู่มาก  เกิดจากการเติมอะตอมที่มีวาเลนซ์อิเล็ก  3  ตัว  เช่น  โบรอน,  เจอเมเนียม  หรืออินเดียม
เป็นสารกึ่งตัวนำที่เกิดจากการจับตัวของอะตอมซิลิกอนกับอะตอมของอะลูมิเนียม ทำให้เกิดที่ว่างซึ่งเรียกว่า โฮล (Hole) ขึ้นในแขนร่วมของอิเล็กตรอน อิเล็กตรอนข้างโฮลจะเคลื่อนที่ไปอยู่ในโฮลทำให้ดูคล้ายกับโฮลเคลื่อนที่ได้จึงทำให้กระแสไหลได้